วันจันทร์ที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2552

นกแต้วแล้วท้องดำ

นกแต้วแล้วท้องดำ
นกแต้วแล้วท้องดำ

นกแต้วแล้วท้องดำ


นกแต้วแล้วท้องดำ (อังกฤษ: Gurney's Pitta) เป็นนกที่พบในแถบพม่าและไทย ปัจจุบันพบที่ เขานอจู้จี้ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาประ-บางคราม อ.คลองท่อม จ.กระบี่ ประเทศไทย เท่านั้น

นกแต้วแล้วท้องดำถูกค้นพบในปี พ.ศ. 2418 ในเขตตะนาวศรี ประเทศพม่า มีรายงานการพบครั้งสุดท้าย ในประเทศพม่าปี พ.ศ. 2457 และไม่พบอีกเลยติดต่อกันนานถึง 50 ปี ทำให้ CITES ขึ้นบัญชีเป็นสัตว์ที่สูญพันธุ์ ต่อมาในปี พ.ศ. 2529 ถูกค้นพบในประเทศไทยโดย Philip D Rould และ อุทัย ตรีสุคนธ์

นกแต้วแล้วชนิดเดียวที่เหลือแหล่งอาศัยสุดท้ายในประเทศไทย และ อาจเป็นแหล่งสุดท้ายในโลก ที่ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาประ - บางคราม ต.เขานอจู้จี้ อ.คลองท่อม จ.กระบี่ ประเทศไทย คงเป็นความผิดของมันเอง ที่เลือกแหล่งพักพิงสุดท้ายที่ประเทศไทย ในยุคที่กฎหมายการรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเป็นเพียงตัวอักษร ซึ่งมีผลปฏิบัติ เฉพาะกับ ผู้ยากไร้ที่แทบจะอ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ แต่กับนายทุนบุกรุกที่ป่าสงวนของชาติ กฎหมายฉบับนี้ เหมือน ไม่เคยมีใน ประเทศ ไทย มาก่อน การสูญพันธุ์ของนกชนิดนี้ ถ้าจะแตกต่างจากนกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธรอยู่บ้าง ก็ตรงที่ เรารู้ถึงสาเหตุล่วงหน้า นับสิบปี และมีบันทึกประวัติก่อนการสูญพันธุ์ไว้ละเอียดและถาวรที่สุดกว่าที่เคยมี บางที สถานที่ ลึกลับ แบบ Jurassic Park จะเป็นความหวังสุดท้าย ของการอยู่รอด ของเผ่าพันธุ์ชนิดนี้ "แก้ว" ดวงนี้ไม่ควรอยู่ที่จังหวัด กระบี่อีกต่อไป เพราะที่ นั่น เหมาะต่อการเจริญเติบโตของ "ไก่ " และ "วานร" ซึ่งไม่รู้จักคุณค่าของ "แก้ว" ในมือ แม้แต่ น้อย

รูปร่างลักษณะ ความยาวจากปลายปากจดหาง 18.5 - 20.5 ซม. นกทั้งสองเพศสีสันแตกต่างกัน นกตัวผู้ กระหม่อมและท้ายทอยสีฟ้าสด หน้าผากและใบหน้าด้านข้าง สีดำ ท้องด้านล่างสีเหลือง , กลางอก ท้องตอนบน และ ขนคลุม ใต้โคนหาง สีดำ สีข้าง และลำตัวด้านข้างมีขีดสีดำถี่ๆ สังเกตได้ชัดเจน ขนคลุมลำตัวด้านบนสีน้ำตาลอ่อน หางสีฟ้าอมเขียว มีแถบสีฟ้าสด นกตัวเมีย กระหม่อมและท้ายทอยสีน้ำตาลแดง และ ขาวอมเหลืองปะปนกัน ใบหน้าด้านข้าง สีดำอมน้ำตาล มีขีดสีดำลากผ่านตา และแก้ม ไปจดท้ายทอย โดยที่บริเวณหลังตา แถบ หรือ ขีดสีดำ จะกว้างกว่า เล็กน้อย คอสีขาวนวล ต่อด้วยสีขาวอมเหลือง ลงมาจนถึงท้อง มีขีดสีดำเป็นลายถี่ๆตามแนวขวางของลำตัว ตั้งแต่อกส่วนบนเรียงลงไปจนถึง ขนคลุมใต้โคนหาง แถบ หรือขีดสีดำ นี้จะเป็นเส้นสั้นๆ โดยเฉพาะ บริเวณอกส่วนบน เกือบจะเป็นจุดประสีดำด้วยซ้ำ หางสีฟ้าอ่อน ส่วนอื่นๆสีจะคล้ายนกตัวผู้แต่สีอ่อนกว่าเท่านั้น โคนปาก และ ปลายปากสีเหลืองจางๆ นกที่ยังไม่โตเต็มวัย ลำตัวส่วนใหญ่สีน้ำตาลอ่อน มีลายเป็นขีดสีเนื้อกระจายทั่วลำตัวทั้งด้านบนและล่าง กลางท้อง และ ด้านข้างของอกมีพื้นสีเนื้อ และขีดสั้นๆสีดำกระจายถี่ๆ เรียงตามแนวขวาง ของลำตัว กระหม่อนสีส้ม ตัดขอบเหนือตาด้วยแถบแคบๆสีเนื้อหรือขาวอมเหลือง มีแถบสีดำลากผ่านตาไปจดท้ายทอย ใต้คอ คาง และ ด้านข้างไปจนจดท้ายทอยสีขาวขุ่น หางสีฟ้าอ่อน ปากสีค่อนข้างดำ ขาสีเนื้อหรือชมพูอ่อน ม่านตาสีค่อนข้างดำ หรือน้ำตาลเข้ม มีขอบเนื้อเปลือยเปล่ารอบตาสีแดง

ประวัติการค้นพบ นกแต้วแล้วท้องดำ ถูกค้นพบและรู้จักกันครั้งแรกในปี ค.ศ. 1875 ในเขตเทนเนอซาลิม ของพม่า มีรายงานการพบ และ เก็บตัวอย่างกันมากในปี ค.ศ. 1910 - 1920 จนกระทั่งมีรายงานการพบครั้งสุดท้าย ในประเทศ พม่าปี ค.ศ. 1914 และไม่พบอีกเลยติดต่อกันนานถึง 50 ปี จนกระทั่ง CITES ขึ้นบัญชีเป็นสัตว์ที่สูญพันธุ์ไปแล้ว จนกระทั่ง มีรายงานการพบ อีกครั้ง ในปี ค.ศ. 1986 โดย Philip D Rould และ อุทัย ตรีสุคนธ์ ( กดที่นี่ เพื่ออ่านรายละเอียด การค้นพบ ครั้งใหม่ ) และจากการค้นพบนก และ รัง ในครั้งนั้น CITES จึงได้เปลี่ยนสถานะของ นกแต้วแล้วท้องดำ เป็น นกที่อยู่ใน ภาวะใกล้สูญพันธุ์อย่างยิ่ง มีบันทึกการเก็บซากตัวอย่างของนกชนิดนี้เท่าที่มีหลักฐานสืบค้นได้ ว่าก่อนปีค.ศ. 1916 มีซาก ตัวอย่างที่เก็บรักษาไว้ในที่ต่างๆทั่วโลก ประมาณ 62 ตัวอย่าง

แหล่งที่เคยพบนกชนิดนี้ในอดีต

พม่า ที่ Lenya ในเขตเทนเนอซาลิม (เขตอิทธิพลของกะเหรี่ยง เดิม ) , Sungei Baleihgyi , Telok Besar , Maliwun , Bankachon ( Bankasoon ) , Kampong Pulo , Tantao ทั้งหมดอยู่ในเขตเทนเนอซาลิม

ประเทศไทย พบครั้งแรกที่บ้านเกาะหลัก ติดชายแดนประเทศพม่า จ. ประจวบคีรีขันธ์ , บ้านครัวกลาง อ.ห้วยยาง ที่ตำแหน่ง 11 องศา 50 ลิบดาเหนือ และ 99 องศา 40 ลิบดาตะวันออก พบในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1952 , อ.บางสะพาน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ก่อนปี ค.ศ. 1983 , คลองบางไล อ.ท่าแซะ จ. ชุมพร ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1910 , ระนอง 1875 - 1877 , ต. ท่าชนะ คลองยาน เดือน มกราคม 1981 , บ้านเกาะคราม จ.สุราษฎร์ธานี เดือน มิถุนายน - กรกฎาคม 1913 , หมู่บ้าน คลองยาน ต. คีรีรัฐนิกรม พบ 2 คู่ ในผืนป่าหย่อมเล็กๆ ในปี ค.ศ. 1988 , เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า คลองพระยา พบ 4 แห่ง แต่อยู่ภายนอกเขตฯ ในปี 1987 จากนั้นไม่พบที่นี่อีกเลย จนกระทั่ง มาพบตัวผู้ 1 ตัว ในปี ค.ศ. 1992 , คลองวังหีบ ซึ่งอยู่ตอน เหนือของ อำเภอทุ่งสง จ. นครศรีธรรมราช พบทำรัง 1 คู่ ในปี 1915 , เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาพนมเบญจา พบตัวเมียเต็มวัย 2 ไม่เต็มวัย 1 และ นกตัวผู้ 1 ตัว พร้อมกันนี้ได้พบรังที่นี่ด้วย ในเดือนสิงหาคม 1936 , บ้านสวนมะพร้าว , คลองทุ่งใส จ. ภูเก็ต พบตัวผู้ 1 ตัว ในปี 1917 , เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขานอจู้จี้ - เขาประบางคราม และ ป่าสงวนแห่งชาติบางคราม ใกล้บ้านบางเตียว อ. คลองท่อม จ. กระบี่ ในเดือนมิถุนายน 1986 ซึ่งที่นี่ยังคงพบอยู่จนถึงปัจจุบัน , อ่าวตง อ.วังวิเศษ อีกฟากหนึ่งของเขานอจู้จี้ อยู่ในเขตจังหวัดตรัง พบ 1 คู่ แต่คาดว่ามีถึง 5 - 6 คู่ จากการสำรวจในเดือน ธันวาคม 1986 โดยพบนกยึดครองพื้นที่หากินอยู่ 4 เขต , คลองมอญ พบในเดือน กุมภาพันธ์ 1986 ซึ่งพร้อมกันนี้มีการพบ Giant Ibis ที่นี่ด้วยในเดือนเดียวกัน , บ้านลำพูลา (ลำลา) เก็บตัวอย่างได้ 8 ตัวอย่าง ในเดือนมกราคม และ กุมภาพันธ์ 1910 , บ้านควนขัน (เกาะขัน) พบในเดือนมกราคม 1910 , เขากระช่อง (เขาช่อง) จังหวัดตรัง เก็บตัวอย่างได้ 4 ตัว ในเดือนธันวาคม 1909

ลักษณะแหล่งอาศัยหากิน จากข้อมูลการค้นพบในอดีต และ ปัจจุบัน พอจะบอกได้ว่า นกแต้วแล้วท้องดำ จะอาศัยอยู่ในป่าผสมกึ่งผลัดใบเฉพาะแบบของพม่า (เขตเทนเนอซาลิม) และป่ามรสุมเขตร้อน แบบประเทศไทย ในเขตการ แพร่กระจายแถบ 7 องศาเหนือ และ 12 องศาเหนือ และมีลักษณะเกือบจะเป็นนกเฉพาะถิ่น พื้นที่อาศัยแคบมาก ต้องเป็นป่า รก ทึบ พืชชั้นล่าง รกทึบ แต่ต้องมีอาหารสมบูรณ์ เป็นที่ราบต่ำใกล้เชิงเขา มีลำธารสาขาขนาดเล็กกระจายอยู่ในพื้นที่ สภาพ ชุ่มชื้นตลอดปี บางแห่งนกปรับตัวอยู่ได้ในป่าชั้นรอง ที่มีพืชชั้นล่าง ปกคลุมหนาแน่น , ป่าที่เพิ่งฟื้นตัวใหม่ๆ , อาศัยอยู่ได้ใน สวนยาง สวนปาล์มน้ำมัน , แม้จะเป็นหย่อมป่าเล็กๆ ที่ขนาบข้างด้วยนาข้าว , ชายป่าดิบ . เคยสำรวจพบในป่าสวนยาง ปลูกใหม่ ต้นยางสูงเพียงเมตรกว่าๆ โดยมีลำธารขนาดเล็กไหลผ่าน แต่อย่าเชื่อข้อมูลของกรมป่าไม้ ที่บอกว่า นกชนิดนี้ ปรับตัว อยู่ได้ในแหล่งเกษตรกรรม และ ที่อยู่อาศัยของคนเป็นอันขาด , ความชุ่มชื้น และ พุ่มไม้ที่รกทึบ ปกคลุม พื้นป่า เป็น ความต้องการอย่างยิ่งของนกชนิดนี้ ซึ่งส่วนใหญ่หากินบนพื้นป่า ซึ่งธรรมชาติของพื้นป่า ที่รกทึบ ตามพื้นป่าจะมีใบไม้แห้ง หล่นทับถมกันอยู่ เป็นแหล่งอาศัยของไส้เดือนดิน ซึ่งเป็นอาหาร หลัก ของนกแต้วแล้วท้องดำ

จากสภาพพื้นที่ของเขาประบางคราม จะมีความสูงอยู่ระหว่าง 80 - 140 เมตร แต่โดยเฉลี่ย จะพบนกอยู่ต่ำกว่า 100 เมตรจากระดับน้ำทะเล แม้ว่าความสูงที่ยอมรับกันว่า นกแต้วแล้วท้องดำ อาจอยู่ได้สูงถึงระดับ 250 เมตร จากระดับน้ำทะเล

อาหาร นกแต้วแล้วท้องดำ หาอาหารโดยใช้ปากพลิกใบไม้ เพื่อหาแมลง หรือ หนอนที่อยู่ใต้ใบไม้ บางครั้ง ใช้ปากขุดดินที่ร่วมซุย อาหารหลัก คือ หอยทาก หนอน ทาก ปลวก แมลง ตัวอ่อน และ ไข่ของแมลง ทุกชนิด จักจั่น ผีเสื้อ มวน จากการศึกษาอาหารที่พ่อแม่นกนำมาป้อนลูกที่รัง พบว่า 73 % คือ ไส้เดือน ที่เหลือ คือ แมลง สารพัดชนิด ที่พบ ใต้ ใบไม้ แห้งตามพื้นป่า

ฤดูทำรังวางไข่ เช่นเดียวกับนกแต้วแล้วชนิดอื่นๆ คือ จะทำรังในฤดูฝน หรือ ต้นฤดูฝน ของภูมิภาคที่มันอาศัยอยู่ ในประเทศไทยอยู่ในราว เดือน มีนาคม หรือ กลางเดือน มิถุนายน ซึ่งในฤดูผสมพันธุ์ นกตัวผู้ จะส่งเสียงร้องประกาศ อาณาเขต มากที่สุดในช่วงกลางเดือนมิถุนายน และ จะค่อยๆเงียบเสียงลง เรื่อยๆ เมื่อเริ่มทำรังวางไข่ ในเขตเทนเนอซาลิม ตัวอย่างที่เก็บได้ มักอยู่ในเดือน เมษายน - พฤษภาคม - มิถุนายน ซึ่งไม่แสดงลักษณะว่าอยู่ในช่วงฤดูผสมพันธุ์ จึงสันนิษฐาน ว่า ช่วงเวลาทำรังวางไข่ ในอดีต ที่เขตเทนเนอซาลิม จะแตกต่างจากนกที่อยู่ที่เขานอจู้จี้ . ในประเทศไทย ช่วงที่พบรัง มากที่สุด อยู่ในช่วงปลายเดือนเมษายน เป็นต้นไป รังที่พบที่เขานอจู้จี้ จะอยู่ระหว่าง 23 พฤษภาคม ถึง 8 สิงหาคม และ ส่วนใหญ่ ที่สุด จะพบรังในเดือน มิถุนายน , จากรายงานของ โยธิน มีแก้ว เคยพบรังในเดือน มกราคม

รังแรก ที่พบที่ คลองวังหิน ทางตะวันออกเฉียงเหนือ ของ อ. ทุ่งสง พบในเดือน ตุลาคม ทำให้เชื่อว่า ฤดูผสมพันธุ์ ของนกแต้มแล้วท้องดำ ผันแปร ขึ้นอยู่กับสภาพภูมิประเทศ หรือไม่ก็ นกมีการวางไข่มากกว่า 1 ครั้ง ในหนึ่งปี หรือ มีการ วางไข่ครั้งใหม่ ทดแทนครอกแรกที่ล้มเหลว

ทำรังเป็นรูปโดม หรือทรงกลม จากใบไม้ หรือ ใบไผ่แห้ง มีทางเข้าด้านหน้าทางเดียว รังจะอยู่ตามโคนกอไผ่ วางไข่ครอกละ 4 - 5 ฟอง แต่ที่เขานอจู้จี้ พบ 3 - 4 ฟอง เปลือกไข่สีขาว เป็นมัน มีจุดประ หรือขีด หรือเส้นหยุกหยิก สีน้ำตาล บนปื้นสีเทา ขนาดของไข่ 25.3 - 27 X 20 - 22.4 มม. , ก้นรังเป็นแอ่ง รองก้นรังด้วยรากไผ่ หรือ รากไม้ ไม่มีวัสดุใด รอง พื้นรัง บางครั้งพบรังที่ค่อนข้างแบน ไม่เป็นรูปโดมสูงมากนัก สร้างจากใบไม้แห้งขนาดใหญ่ และกิ่งไม้ขนาดเล็ก สานกัน หยาบๆ พอพยุงให้รังทรงรูปอยู่ได้เท่านั้น รังอาจอยู่โคนต้นไม้ หรือบนคบไม้ หรือ เถาไม้ขนาดใหญ่ ซึ่งมักเป็นต้นไม้ที่ยาง เป็นพิษ สูงจากพื้นตั้งแต่ 1 - 2.4 ถึง 3 - 7 เมตร จากพื้นดิน บางครั้งทำรังบนกอต้นปาล์ม ต้นเร่ว กอหนาม , การวางไข่ อาจขึ้นอยู่กับปริมาณฝนที่เริ่มตก ซึ่งจะทำให้พื้นดินชุ่มชื้น และ มีปริมาณของไส้เดือนที่จะใช้เลี้ยงลูกได้มากขึ้น นกทั้งสอง เพศ ช่วยกันทำรัง กกไข่ และ เลี้ยงลูกอ่อน เคยพบจากการสำรวจ ในฤดูวางไข่ว่า นกตัวผู้ มีนกตัวเมีย ที่ทำรังอยู่ในละแวก ใกล้เคียงกันถึง 2 รัง ระยะการฟักไข่ อยู่ระหว่าง 10 -14 วัน และ นกในกรงเลี้ยงพบว่า ใช้เวลาฟักนานกว่า ถึง 20 วัน ในการเฝ้าสังเกตพบว่า ในรังที่มีไข่ 4 ฟอง นกใช้เวลาฟัก ในช่วงกลางวัน 7.5 ชม. ในช่วง 3 วันแรก ส่วนใหญ่นกตัวเมีย เป็นผู้ฟักไข่ สลับด้วยนกตัวผู้เป็นช่วงสั้นๆ ในช่วงต้นๆของการฟัก นกตัวผู้จะนำอาหารมาป้อนให้นกตัวเมียที่กกไข่อยู่ ระยะเวลาที่ลูกนก ตั้งแต่เป็นไข่จนถึงออกจากรัง ใช้เวลาไม่น้อยกว่า 1 เดือน อัตรารอดของลูกนกต่ำมาก ใน 14 รัง มีเพียง 4 - 5 รัง เท่านั้นที่สามารถฟักเป็นตัวได้โดยไข่ไม่ถูกศัตรูทำลายไปเสียก่อน ศัตรูสำคัญคือ งู ที่ชอบกินไข่ และ ลูกนก และอาจรวมถึงกินตัว พ่อแม่ นกด้วย

การอพยพย้ายถิ่น Hume และ Davidson เคยรายงานไว้ในปี ค.ศ. 1878 ว่า นกแต้วแล้วท้องดำ พบในบางฤดูกาล ในเขตเทนเนอซาลิม ตอนเหนือของเมือง Lenya จะเริ่มพบมาก ในตอนต้นเดือนกุมภาพันธุ์ และ จะเริ่มหายากไปเรื่อยๆ จนถึงกลางเดือนเมษายน แต่พอเข้าฤดูมรสุม นกจะหายไปหมด มีเพียงจำนวนน้อยมากที่ยังพบได้ในเดือน กรกฎาคม จึงยังไม่แน่ชัด และ คงไม่มีโอกาส รู้แล้วก็ได้ ว่า นกชนิดนี้อพยพตามแหล่งอาหาร หรือ มีการอพยพในประเทศใกล้เคียง หรือ ที่ไม่พบตัว เพราะ อยู่ในช่วงฤดูทำรังวางไข่ ซึ่งปกตินกชนิดนี้ก็หาพบตัว ยาก อยู่แล้ว ยิ่งนกไม่ส่งเสียงร้องในฤดูทำรัง ด้วยแล้ว โอกาสพบตัวยิ่งน้อยไปอีก การสังเกตการณ์จึงยากมาก ปัจจุบันจำนวนที่น้อยยิ่งกว่าน้อย จึงแทบจะเป็นนก ที่พบ เฉพาะถิ่นไปเสียแล้ว

บริเวณสำคัญที่เคยพบ และ ความหวังอันเลือนลางว่าอาจยังมีหลงเหลืออยู่ ได้แก่ อ. ท่าชนะ อ. คลองยาน เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าคลองพระยา อุทยานแห่งชาติเขาพนมเบญจา ป่าสงวน แห่งชาติเขาประ - บางคราม , เขตรักษาพันธุ์ สัตว์ป่าเขาประ - บางคราม เขานอจู้จี้ และ บริเวณที่เคยพบ ว่ามีอยู่ เมื่อ ปี ค.ศ. 1950 - 1979 อ. ห้วยยาง จ. ประจวบคีรีขันธ์ !!??

จำนวนประชากร ที่เขานอจู้จี้ ในปีที่สำรวจพบครั้งใหม่ ในปี ค.ศ. 1986 พบอย่างน้อย 39 คู่ ที่บ้านบางคราม ในเขตเขานอจู้จี้ และ 5 - 6 คู่ ที่ ต. อ่าวตง การสำรวจบ่งชี้ว่า นกชนิดนี้ชอบอาศัยอยู่ในป่าที่ราบต่ำ จากการสำรวจในช่วงปี ค.ศ. 1987 - 1989 ประมาณการว่า ทั้งหมดในภาคใต้ตอนล่างของไทยอยู่ในราว 24 -48 คู่ โดยแบ่งเป็น 20 -30 คู่ ในเขต เขานอจู่จี้ โดยที่นี่ พบนกยึดครองอาณาเขตอยู่ราว 7 เขต ในปี ค.ศ. 1987 และ เพิ่มเป็น 9 เขต ในปี ค.ศ. 1988 ในฤดูผสม พันธุ์ ในบริเวณที่สำรวจอย่างจริงจัง ในเขตเขาประบางคราม พบจำนวนที่ยืนยันได้ 7 เขต มีเพียง 2 เขต ที่นกใช้ทำรังซ้ำที่เดิม ในระยะ 2 ปี ความหนาแน่นราว 9 - 15 คู่ ต่อพื้นที่ที่ใช้สำรวจ หรือเฉลี่ย 3.6 - 6.0 คู่ ต่อพื้นที่ 1 ตารางกิโลเมตร ในปี ค.ศ. 1992 พื้นที่เดิมถูกลักลอบ ทำลาย มากขึ้น พบเพียง 21 คู่ ในพื้นที่ 30 ตารางกิโลเมตร ในเดือน มิถุนายน ค.ศ. 1992 ได้ยิน เสียงร้องของนกตัวผู้ 1 ตัว ที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า คลองพระยา และ จากการที่พื้นที่ถูกทำลาย เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว สำรวจพบเพียง 14 - 16 คู่ ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาประ - บางคราม ในปี ค.ศ. 1995 และ ลดลงเหลือ 9 คู่ ในปี ค.ศ. 1997 (ไม่มีการสำรวจที่ ต. อ่าวตง ) และ เมื่อมีการสำรวจที่ อ่าวตง ในปี ค.ศ. 1998 ไม่พบนกอีกเลย ในปี ค.ศ. 2000 จำนวน ประชากร ที่สำรวจพบ เหลือเพียง 24 ตัว

แล้วเราจะอนุรักษ์นกชนิดนี้ได้อย่างไร ?

1 การรักษาสภาพแวดล้อมที่นกอาศัยเป็นแหล่งสุดท้ายนี้ไว้ให้ได้ โดยหลักการที่ถูกต้องก็ควรเป็นเช่นที่ว่า แต่จากสภาพที่เป็นอยู่ แม้จะมีการประกาศเป็นเขตห้าล่าสัตว์ป่า และ ยกฐานะในอีก 2 ปี ให้หลังขึ้นเป็น เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า แต่เนื่องจากสภาพการเป็นป่าในที่ราบต่ำ มีความอุดมสมบูรณ์สูง จึงง่ายต่อการถูกบุกรุกทำลาย เป็นแหล่งเกษตรกรรม เหมือนเช่น เมื่อ 200 ปีก่อนที่ภาคกลางยังเป็นป่าที่ราบลุ่ม มีเนื้อสมันอุดมสมบูรณ์ตามท้องทุ่ง บัดนี้ สภาพป่าเขาประ - บางคราม ก็ถูกทำลายเป็นสวนยาง สวนปาล์มน้ำมัน สวนผลไม้ เนื่องจาก การประสาน ผลประโยชน์ต่างตอบแทน ระหว่างข้าราชการท้องถิ่น และ นายทุนบุกรุกป่า และ ความอ่อนแอขององค์กรเอกชนเพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อมของไทย เชื่อว่าไม่นาน ป่าที่อยู่อาศัย ที่เหมาะสม ของ นกแต้วแล้วท้องดำ นี้ต้องถูกทำลายหมดไปอย่างแน่นอน ซึ่งเมื่อดัชนีบ่งชี้ความสมบูรณ์ของป่านี้หมดไป น้ำในสระมรกต คงจะใกล้แห้งเหือด ความแห้งแล้ง ก็จะเริ่มมา เยือน สมตามความ ต้องการ ของชาวบ้านบริเวณนั้นแน่นอน

2 การเพาะเลี้ยงในกรงเลี้ยง ส่วนราชการที่เกี่ยวกับการเพาะเลี้ยงและขยายพันธุ์สัตว์ป่าของไทย มีความสามารถในการเพาะเลี้ยง เป็ดก่า และ ไก่ฟ้าหลายชนิด เป็นผลสำเร็จ สมารถปล่อยสัตว์ที่เพาะเลี้ยงขยายพันธุ์ได้ส่วนหนึ่ง ของ คืนสู่ธรรมชาติได้บ้างแล้ว ย่อมเชื่อได้ว่าบุคลากรของไทย มีความรู้ความสามารถพอในการเพาะเลี้ยง เพื่อรักษา และ ขยายพันธุ์ นกแต้วแล้วท้องดำได้ เพราะในต่างประเทศ เคยมีรายงานการเพาะเลี้ยงนกแต้วแล้วท้องดำให้ ทำรัง และ ออกไข่ในกรงเลี้ยงได้ ที่สวนสัตว์ซานดิเอโก และ แหล่งสะสมสัตว์ของเอกชน ในประเทศสหรัฐอเมริกา และ คานาดา ซึ่งแม้จะไม่สามารถเลี้ยงจนเพิ่มจำนวนขึ้นได้ แต่การที่สามารถเลี้ยงจนนกทำรัง ออกไข่ และ ฟักเป็นตัวได้ (แม้จะตายภายหลัง เนื่องจากเลี้ยงร่วมกับนก ชนิดอื่น ที่อาจเป็นสาเหตุของการทำลายไข่ และ ลูกนก ) และการที่นกแต้วแล้วท้องดำ สามารถอยู่ในสภาพที่อยู่อาศัยแบบเฉพาะเจาะจง และ ไม่กว้างขวางมากนัก จึงควรที่ส่วนราชการ ควรทดลองเพาะเลี้ยงและขยายพันธุ์ พร้อมกับทำการวิจัยไปพร้อมๆกันได้ แม้จะมีข่าวที่ไม่ทราบที่มา เกี่ยวกับการทดลองปล่อย ในสถานที่อื่นเช่น สวนสัตว์เปิดเขาเขียว จังหวัดชลบุรี และ ที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า คลองลำพระยา ถ้ามีการทำการเพาะเลี้ยงอยู่จริง ก็สมควรที่กรมป่าไม้จะให้การสนับสนุนด้านงบประมาณ เพื่อการวิจัย และ การเพาะเลี้ยงให้เป็นผลสำเร็จ ซึ่งวิธีนี้ ดูจะเป็นความหวังเดียว ที่จะช่วยให้นกแต้วแล้วท้องดำ ดำรงเผ่าพันธุ์อยู่ต่อไปในโลกใบนี้

3 ควบคู่ไปกับการเพาะเลี้ยง คือการสำรวจ แลกเปลี่ยนข้อมูล กับประเทศเพื่อนบ้าน ที่อาจมีนกชนิดนี้หลงเหลืออยู่ในเขตเทนเนอซาลิม เพราะยังมีข่าวการลักลอบ ค้านก ผิดกฎหมาย ในตลาดค้านก โดยอ้างว่าจับมาจากเขตพม่าอยู่ ซึ่งจะจริงหรือ หลอกลวงนำนกไทย แต่หลอกว่าเป็นนกพม่า ก็เป็นเรื่องที่ต้องหาความจริง ถึงแหล่งอาศัยที่แน่นอน และ ข้อมูลจากพื้นที่ใน ประเทศไทย อื่นๆ เนื่องจากเรายังไม่ทราบชีววิทยาของนกชนิดนี้อีกมาก เช่น นกต้องการอาณาเขตการหากินครอบคลุมสักเท่าใดต่อนก 1 คู่ , แหล่งอาหาร ประเภท ชนิดอาหาร ศัตรูตามธรรมชาติ และ อัตรา หรือ ความเสี่ยงต่อการอยู่รอดของลูกนก เป็นต้น ก็ เป็นที่น่าวิตกว่า นกแต้วแล้วท้องดำ อาจสูญพันธุ์ไปก่อนที่เราจะศึกษาจนรู้จักมันอย่างละเอียดได้ด้วยซ้ำ

แหล่งข้อมูล : " Threatened birds of Asia " By Birdlife International

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น